ช่อทับทิม
(Globba rosea Gagnep.) , ต้อยติ่ง (Ruellia tuberosa Linn.) และดอกดาว
(Ipomoea quamoclit Linn.)
เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งของพืชหลายชนิดที่มีความสวยงาม
ตลอดจนศักยภาพในการนำมาพัฒนาเพื่อใช้เป็นไม้ประดับ ในอนาคตได้
1.
ช่อทับทิม
1.1
ลักษณะทั่วไป
ช่อทับทิม
(Globba rosea Gagnep.) (ภาพ 1 และ 2
) เป็นพืชที่อยู่ใน Family Zingiberaceae Tribe Globba (กำปั่น, 2541 และเอื้อมพร,
2541) โดยกำปั่น (2541) กล่าวว่า ช่อทับทิมเป็นพืชไม่มีเนื้อไม้มีอายุหลายปี
ใบร่วงและต้นพักตัวในช่วงฤดูแล้ง พุ่มต้นมีความสูงประมาณ 25 ซม
ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้าสั้นๆ ทอดไปตามพื้นดิน ด้านนอกสีน้ำตาลอ่อนด้านในสีครีม รากเป็นระบบรากฝอย
กาบใบเรียงซ้อนทับกันเป็นลำต้นเทียมมีลักษณะแคบ และยาวเรียว
ใบเป็นใบเดี่ยวแยกออกเป็นสองแนว เรียงสลับในระนาบเดียวกัน
แผ่นใบบางใบเป็นรูปหอกขนาด 1.8-2.7x7.5-12
ซม ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบทั้งสองด้าน
ด้านบนสีเขียวเข้มด้านล่างสีเขียวอ่อน ช่อดอกเกิดที่ปลายยอดมีลักษณะห้อยลงเป็นแบบ cymose
แต่ละดอกมีกาบรองดอก (bract)
รองรับดอกจริงโดยกลุ่มของกาบรองดอกจับกันเป็นกลุ่มก้อน (cluster) สีม่วงแดง ขนาด 1.2-1.7x1.5-1.8 ซม มีลักษณะบาง
โดยแต่ละกลีบจะซ้อนกันไป และกลีบนอกสุดจะหุ้มกลีบอื่นๆไว้
แต่ละกลุ่มย่อยของกาบรองดอกอยู่รวมกันเป็นกลุ่มบริเวณปลายสุดของช่อดอก ใบประดับ (bracteole) เป็นรูปมนรีถึงรูปไข่ปลายแหลมผิวเรียบทั้งสองด้านขอบนอกมีขน
สีม่วงอ่อนขนาด 0.8-1.1x1-1.5 ซม บริเวณใบประดับรองรับช่อดอกจะเกิดหัวย่อย
(bulbil) ลักษณะมนรีปลายมน (obtuse) สีเหลืองหม่นขนาด
3x4 มม
โดยปกติดอกจริงจะบานครั้งละ
1
ดอกในแต่ละกลุ่ม ลักษณะดอกห้อยลงด้านล่างก่อนแล้วจึงตั้งตรงขึ้น ดอกสมมาตรด้านข้าง
ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นหลอด รูปร่างเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 3
แฉกมีขนาดไม่เท่ากัน สีขาว มีขนขึ้นปกคลุม
กลีบดอกสีส้มอ่อนเชื่อมกันเป็นหลอดมีขนาดเล็กยาวประมาณ 2.2 ซม
ปกคลุมด้วยขนขนาดเล็ก กลีบดอกมี 3 กลีบลักษณะบาง มี 2
กลีบรูปร่างขอบขนาน ปลายแหลมสีเหลือง ผิวเรียบทั้ง 2 ด้านมีลักษณะเว้าเล็กน้อยขนาดประมาณ 3.2x5.2 มม
ส่วนอีก 1 กลีบเว้ามากกว่า ขนาดประมาณ 4.2x6.1 มม ปลายมน กลีบดอกลักษณะคล้ายปากห้อยลงเป็นรูปไข่ถึงรูปหอก
ส่วนหนึ่งของด้านล่าง เชื่อมติดกับก้านชูอับละอองเรณู
ส่วนด้านบนจะแยกเป็นอิสระและมีปลายแยกออกเป็น 2 พู สีส้ม
ผิวเรียบทั้ง 2 ด้านขนาดประมาณ 3.3x6 มม
เกสรตัวผู้มี 1 อัน
ก้านชูอับละอองเรณูบริเวณส่วนบนมีลักษณะโค้ง สีส้มอ่อนขนาดประมาณ 1x4 มม อับละอองเรณูมี 2 ห้อง สีครีม ขนาดประมาณ 1.2x2.3 มม
เกสรตัวผู้ที่เป็นหมันมีลักษณะเหมือนกลีบดอก (petaloid) มี 2
อันรูปร่างมนรี ผิวเรียบทั้ง 2 ด้าน สีส้ม ขนาดประมาณ 4.2x8.3
มม ที่ขอบลักษณะเป็นคลื่น ยอดเกสรตัวเมียมีลักษณะกลม มีขนโดยรอบ
ก้านชูยอดเกสรตัวเมียยาวคล้ายเส้นด้ายสีขาว ยาวประมาณ 4.3 ซม
แทรกอยู่ระหว่างอับละอองเรณู รังไข่อยู่ในระดับต่ำกว่าส่วนอื่นของดอก
ลักษณะค่อนข้างกลม ขนาดประมาณ 2x2 มม สีขาวผิวเรียบ มีขนขึ้นปกคลุมมี
1 ห้อง ไข่อ่อนติดที่ผนังของรังไข่มีจำนวนมาก ผลเป็นแบบ capsule
ภาพ 1 ใบและช่อดอกของช่อทับทิม (Globba
rosea Gagnep.)
ภาพ 2 ช่อดอกของช่อทับทิม (Globba
rosea Gagnep.)
1.2 การทดลองกับพืชใน Family Zingiberaceae
การทดลองกับพืชกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับที่อยู่ใน Family Zingiberaceae
ยังมีไม่มากนัก นฤมล (2534)
ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการเปรียบเทียบชนิดของเครื่องปลูกร่วมกับสูตรปุ๋ยที่เหมาะสมสำหรับการเจริญของต้นขิงแดง
(Alpinia purpurata) โดยพบว่าการใช้เครื่องปลูกที่เป็นดินล้วนๆ
ร่วมกับการใช้ปุ๋ยสูตร 18-18-18 หรือ 10-24-24
ให้ผลดีใกล้เคียงกันคือมีความสูงของหน่อที่ 1 , 2 , 3 และ 4
เท่ากับ 19.36, 18.23, 16.35, 13.96 ซม และ 17.64,
16.83, 13.71 และ 10.95 ซม ตามลำดับ
ซึ่งการเจริญในสัปดาห์ที่ 10 มีจำนวนหน่อเฉลี่ยต่อต้น 7.91 และ 7.04 หน่อ ตามลำดับ
ส่วนเครื่องปลูกอื่นที่สามารถใช้แทนดินได้ คือ ถ่านแกลบผสมทรายในอัตราส่วน 3:1 หรือ ถ่านแกลบเพียงอย่างเดียว ร่วมกับการใช้ปุ๋ยทั้งสองสูตร
โดยมีผลต่อการเจริญไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และในพืชชนิดเดียวกันนี้
อารีรัตน์ (2537) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบการเจริญเติบโตระหว่าง ขิงแดง (Alpinia
purpurata) กับขิงชมพู (Alpinia sp.) ซึ่งพบว่าความสูงของต้นขิงแดงสูงกว่าขิงชมพู โดยขิงแดงมีความสูงโดยเฉลี่ย
60 ซม ส่วนขิงชมพูมีความสูงเฉลี่ย 55.8 ซม จำนวนหน่อใหม่มีเกิดขึ้นในขิงแดงมากกว่าขิงชมพู
โดยมีจำนวน 33 และ 28 หน่อ ตามลำดับ จำนวนใบทั้งหมดใน 1 กอ
ของขิงแดงก็มากกว่าขิงชมพู โดยมีจำนวน 215 และ 179 ใบ ตามลำดับ
สำหรับจำนวนใบต่อต้น ตั้งแต่เริ่มปลูกจนกระทั่งออกดอก ขิงแดงมี 8-10 ใบ
ในขณะที่ขิงชมพูมีเพียง 6-8 ใบ นอกจากนี้จำนวนโครโมโซมในขิงแดงยังมากกว่าขิงชมพู
โดยที่ขิงแดงมีจำนวนโครโมโซม 48 แท่ง ส่วนขิงชมพูมีเพียง 24 แท่ง
ลักษณะของโครโมโซมของขิงทั้งสองชนิดนี้คล้ายกันมาก
แต่ขนาดของโครโมโซมของขิงแดงใหญ่กว่าขิงชมพูเล็กน้อย
ส่วนการศึกษาส่วนประกอบภายในดอก พบว่า ส่วนประกอบภายในดอกเหมือนกันคือ
มีเกสรตัวผู้ที่ประกอบด้วยก้านชูเกสรที่มีขนาดยาวเรียว มีอับละอองเกสร 2 พู
แต่ละพูมีอับละอองเกสร 2 อับ ที่ฐานของอับละอองเกสรยื่นออกมาเป็นเดือย
เกสรตัวเมียมีลักษณะเป็นเส้นยาวแทรกอยู่ระหว่างกลางของอับละอองเกสร 2 พู
ปลายของก้านชูเกสรเป็นยอดเกสรตัวเมีย ซึ่งแผ่ขยายออกไปด้านข้าง
ตรงกลางเป็นแอ่งลึกลงไป ในการผลิตดอกขิงเป็นการค้า การปลูกขิงแดงได้จำนวนดอกใน 1
กอมากกว่าขิงชมพู นอกจากนี้ขิงแดงยังออกดอกได้เร็วกว่าขิงชมพูประมาณ 2-3 สัปดาห์
ส่วนการศึกษาวัสดุปลูกที่เหมาะสมของพืชชนิดอื่นใน
Family Zingiberaceae เช่นปทุมมา (Curcuma sparganifolia) ซึ่งได้ศึกษาในวัสดุปลูก
5 ชนิดคือ ดินเหนียว ดินแม่น้ำ ดินร่วนผสมเปลือกถั่ว ทรายผสมขุยมะพร้าว และ
แกลบดิบผสมขุยมะพร้าว
พบว่าในแกลบดิบผสมขุยมะพร้าวใช้เวลาในการแทงหน่อน้อยกว่าวัสดุปลูกอื่น
และพบว่าปทุมมาที่อยู่ในวัสดุปลูกทรายผสมขุยมะพร้าว
และแกลบดิบผสมขุยมะพร้าวมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่าในวัสดุปลูกอื่นด้วย
ด้านจำนวนใบของต้นปทุมมาในทุกวัสดุปลูกมีความใกล้เคียงกันมาก
แต่ในส่วนของดอกการปลูกในแกลบดิบผสมขุยมะพร้าว ให้ดอกเฉลี่ยสูงสุด คือ 4.1
ดอกต่อถุง ซึ่งช่วงที่มีการให้ดอกมากที่สุดจะอยู่ในระหว่างสัปดาห์ที่ 20-21
หลังการปลูก ในส่วนของหัวใหม่ที่ได้
พบว่าวัสดุปลูกแกลบดิบผสมขุยมะพร้าวให้หัวใหม่เฉลี่ยสูงสุดคือ 7.2 หัว (ฉันทลักษณ์, 2538)
ในพืชชนิดเดียวกันนี้
ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับแสงที่มีผลต่อการชักนำให้เกิดวันยาว เพื่อไม่ให้ยุบตัวในดูหนาว
โดยศึกษาที่ความเข้มแสง 6, 20 และ 95 ลักซ์
และให้ต้นได้รับแสงจากหลอดไฟชนิดมีใส้ วันละ 4 ชม ตั้งแต่ 19.00-22.00 น.
พบว่า ที่ความเข้มแสง 6 ลักซ์ ต้นปทุมมายุบตัว 30 % ส่วนความเข้มแสงตั้งแต่
20 ลักซ์ ต้นจะไม่ยุบตัวแต่อย่างใด วันยาวที่ชักนำโดยความเข้มแสงที่ 95 ลักซ์
ทำให้ต้นปทุมมามีจำนวนหน่อ ความสูงของต้น และ จำนวนใบมากกว่าความเข้มแสงที่ต่ำกว่า
และทำให้ออกดอกเร็วขึ้นด้วยทั้งต้นที่เกิดจากหน่อที่ 1 และ 2 (อุษา, 2537)
สมใจ (2532) ได้ทำการศึกษาเครื่องปลูกที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นกระเจียวแดง (Curcuma roscoeana Linn.) โดยใช้ทราย ขี้เถ้าแกลบ ขุยมะพร้าว ปุ๋ยคอก เปลือกถั่ว ขี้วัว และดินร่วน เป็นส่วนผสมของเครื่องปลูกโดยมีส่วนผสมต่างๆกัน พบว่าส่วนผสมของทราย ขี้วัว เปลือกถั่ว และดิน อย่างละส่วน หรือ ทราย, ขี้เถ้าแกลบ และดิน อัตราส่วน 1:1:2 และส่วนผสมของทราย ขี้วัว ขี้เถ้าแกลบ และดิน ในอัตราส่วน 1:1:1:2 ทั้งสามวิธีนี้ให้ความสูงของต้น น้ำหนักสดของต้น น้ำหนักสดของราก จำนวนรากอวบน้ำ น้ำหนักรากสะสมอาหาร และมีแนวโน้มของจำนวนรากสะสมอาหารดีกว่าที่ได้จากส่วนผสมของเครื่องปลูกอื่น ส่วนการใช้ทรายอย่างเดียวจะทำให้รากมีความยาวสูงที่สุด รองลงมาคือรากที่ได้จากการปลูกในทราย และขี้เถ้าแกลบ อย่างละส่วน นอกจากนั้นการใช้ทรายเพียงอย่างเดียวเครื่องปลูกมีการยุบตัวน้อยที่สุด ส่วนเครื่องปลูกที่มีการยุบตัวมากที่สุดคือ เครื่องปลูกที่มีส่วนผสมของทราย, ขี้เถ้าแกลบ และดิน ในอัตรา 1:1:2
ทวีศักดิ์
(2538) ได้ศึกษาเพื่อเปรียบเทียบการเจริญเติบโตระหว่างกระเจียวส้ม และปทุมมา
พบว่ากระเจียวส้ม และปทุมมาใช้เวลาการงอกเฉลี่ยใกล้เคียงกัน คือ 50.31 และ 49.65
วัน ตามลำดับ เปอร์เซนต์การงอกเป็น 80 และ 85 % กระเจียวส้มมีจำนวนใบเฉลี่ยต่อต้นเท่ากับ
10.75 ใบ ในขณะที่ปทุมมามีจำนวนใบเฉลี่ยต่อต้น คือ 5.71 ใบ
ระยะเวลาตั้งแต่ปลูกจนถึงการออกดอกแรก กระเจียวส้มใช้เวลาเฉลี่ย 169.88 วัน
ส่วนปทุมมาใช้เวลาเฉลี่ย 108.81 วัน กระเจียวส้มมีจำนวนดอกต่อต้นเฉลี่ย 1.00 ดอก
และมีจำนวนหน่อต่อต้นเฉลี่ย 1.25 หน่อ ในขณะที่ปทุมมามีจำนวนดอกต่อต้นเฉลี่ย 2.75
ดอก และมีจำนวนหน่อต่อต้นเฉลี่ย 3.18 หน่อ
และพืชทั้งสองชนิดมีจำนวนใบของหน่อแรกของพืชน้อยกว่าจำนวนใบของต้นที่งอกจากหัวที่ใช้ปลูก
2.
ต้อยติ่ง
2.1 ลักษณะทั่วไป
ต้อยติ่ง
(Ruellia tuberosa Linn.)
เป็นพืชใน Family Acanthaceae (นันทวัน, 2541 ; วิทย์,
2530 ; วิชัย, 2532 ; เอื้อมพร, 2541)
เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อนพุ่มเตี้ย แตกกิ่งก้านสาขาออกไปรอบๆต้น สูงประมาณ 5-6
น ลักษณะใบเป็นรูปไข่และมีขนละเอียดปกคลุมอยู่ทั่วไป
ขอบใบเรียบไม่มีจัก มองเห็นเส้นแขนงใบได้ชัด ใบยาวประมาณ 1.5-2 น ใบเป็นแบบใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามสลับกันไปรอบๆต้น (ภาพ 3)
ช่อดอกออกที่ปลายยอด เป็นชนิดดอกตรงกลางบานก่อน และมีดอกข้าง 2 ดอก
ดอกออกเป็นช่อสั้นตามปลายกิ่งบริเวณซอกใบ ลักษณะดอกเป็นรูปทรงปากบาน
ตอนปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ สีม่วงอมสีน้ำเงิน (ภาพ 4) กลีบอ่อนบางพื้นผิวย่น
เกสรสั้นซ่อนอยู่ภายในหลอดดอก โคนหลอดดอกสีเหลือง ขนาดดอกบานเต็มที่กว้าง 1-1.5
น ดอกบานตอนเช้าถึงตอนบ่ายแล้วจะโรย เมื่อดอกโรยแล้วจะติดผล
ผลเป็นฝักรูปหลอดเล็กยาว 1-1.5 น เปลือกแข็งปลายแหลม
ผลแก่เมื่อถูกน้ำจะแตกทำให้เมล็ดสามารถกระจายไปได้เองในระยะไกล และสามารถงอกเป็นต้นได้ในระยะเวลาสั้น
มีถิ่นกำเนิดอยู่ในคาบสมุทรมาเลย์ จนถึงทวีปอเมริกาเขตร้อน
ต้อยติ่งจัดเป็นพืชสมุนไพร นิยมใช้เมล็ดแช่น้ำมาพอกฝีดูดหนอง และใช้เป็นยาสมานแผล
ภาพ 3 ใบและฝักของต้อยติ่ง (Ruellia
tuberosa Linn.)
ภาพ 4 ลักษณะดอกต้อยติ่ง (Ruellia tuberosa Linn.)
2.2
การทดลองของพืชที่อยู่ใน Family Acanthaceae
ฉวีวรรณ
(2540) ได้รายงานการศึกษาถึงผลของโคลชิซีน ต่อการงอก
และการเพิ่มจำนวนโครโมโซมของเมล็ดต้อยติ่งไว้ว่า การแช่เมล็ดต้อยติ่งในสารละลายโคลชิซีนความเข้มข้น
0.1 และ 0.2 % เปรียบเทียบกับการแช่ในน้ำกลั่นนาน
24 ชม พบว่าสารละลายโคลชิซีนมีผลทำให้การงอกของเมล็ดต้อยติ่งลดลง
โดยเมล็ดที่แช่ในน้ำกลั่นมีการงอก 41.00 % แต่เมล็ดที่แช่ในสารละลาย
โคลชิซีนความเข้มข้น 0.1 และ 0.2 %
มีเปอร์เซนต์การงอกเป็น 2.33 และ 15.66 % ตามลำดับ และต้นอ่อนที่งอกจากเมล็ดที่ได้รับโคลชิซีนมีโครโมโซมเป็น mixoploid
โดยที่ความเข้มข้นของสารละลายโคลชิซีน 0.1 % ทำให้เกิดเซลล์ที่เป็น
diploid 50.93 % เซลล์ที่เป็น tetraploid 45.33
% และเมื่อเมล็ดได้รับสารละลายโคลชิซีนเพิ่มขึ้นเป็น
0.2 % พบเซลล์ที่เป็น diploid ลดลงเป็น
46.30 % และเซลล์ที่เป็น tetraploid เพิ่มขึ้นเป็น
50.25 % แต่ที่ความเข้มข้นทั้งสองระดับนี้
ทำให้เกิดเซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมมากกว่า tetraploid ใกล้เคียงกันคือ
3.74 และ 3.45 % ตามลำดับ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดต้นอ่อนที่มีลักษณะผิดปกติ
ได้แก่ ใบเลี้ยงมีสีเขียวเข้ม หนา งองุ้มลง ใบจริงหงิกงอ ต้น และรากสั้น
และมีการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าต้นที่ไม่ได้รับโคลชิซีน
ต้นอ่อนที่งอกจากเมล็ดที่ได้รับสารละลายโคลชิซีน 0.1 % มีลักษณะต้นปกติ
16.67 % และต้นผิดปกติ 85.07 % แต่เมื่อเมล็ดได้รับโคลชิซีน
0.2 % ต้นอ่อนจะแสดงลักษณะผิดปกติทั้งหมด
3.
ดอกดาว
3.1 ลักษณะทั่วไป
ดอกดาว
มีชื่อเรียกหลายชื่อได้แก่ รกฟ้า
แข้งสิงห์ เข็มแดง คอนสวรรค์ พันสวรรค์ สนก้างปลา Cypress vine
Cardinal climber หรือ Star glory (Ipomoea
quamoclit Linn.) เป็นไม้เลื้อยใน
Family Convolvulaceae (วงศ์สถิตย์
และคณะ, 2538 ; เต็ม, 2523 ; เอื้อมพร,
2541 ; Anonymous, 1998 และ Markku, No date) เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเรียบ ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม
ต้นสามารถเลื้อยทอดยาวได้มากกว่า 20 ฟุต โดยมักจะแตกแขนงย่อย
แต่จะไม่แพร่กระจายออกไป ใบกว้าง 0.5-2.5 น ยาว 1-2 น มีลักษณะเป็นแบบขนนก (finely divided pinnately) (ภาพ 5)
ช่อดอกออกบริเวณข้อใต้ใบมีดอกย่อย 2-6 ดอก ทยอยกันบาน ดอกบานที่ปลายช่อ
ก้านช่อดอกยาว 4-6 น ดอกสีแดงสดมีลักษณะเป็นแบบ tubular ยาว 1-1.5
น ปลายกลีบดอกแยกออกเป็น 5 แฉก (ภาพ 6)
ลักษณะคล้ายรูปดาวมีรอยยับตามทางยาวแนวกลีบดอก กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ
สีเขียวฉาบน้ำตาล เกสรตัวผู้มี 5 อัน ก้านชูเกสรตัวผู้เป็นสีแดงยาว 1.5-1.8 น
อับละอองเกสรตัวผู้สีขาว ก้านชูเกสรตัวเมียยาวเสมอเกสรตัวผู้เป็นสีขาว ยอดเกสรตัวเมียสีขาว
รังไข่มี 4 พู อยู่เหนือฐานรองดอก ผลรูปไข่เมื่อแห้ง แตกได้ เมล็ดมีสีน้ำตาลแก่
แหล่งกำเนิดธรรมชาติที่พบดอกดาว
ไม่มีรายงานในประเทศไทย แต่ได้มีรายงานว่าเป็นพืชท้องถิ่นของเม็กซิโก
และอเมริกาเขตร้อน ปัจจุบันสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในแถบตะวันออกของอเมริกา ตั้งแต่รัฐฟลอริด้าจนถึงรัฐเท็กซัส
และแถบตอนล่างของรัฐแคนซัสจนถึงรัฐโอไฮโอ ซึ่งพบได้ตามท้องทุ่ง พื้นที่ว่าง
ตลอดจนข้างทางทั่วไป
ภาพ 5 ต้นและดอกของดอกดาว (Ipomoea quamoclit Linn.)
3.2 การทดลองของพืชที่อยู่ใน Family Convolvulaceae
การศึกษาในพืชอื่นที่อยู่ใน Family
Convolvulaceae นี้ Aturshi and Kihachiro (1999) ได้ทำการศึกษาถึงระบบการผสมเกสรของพืช 4 ชนิดใน Genus Calystegia โดยทำการศึกษาใน Calystegia soldanella , C. hederacea , C.
japonica และ C.
sepium โดยที่ C. soldanella , C. hederacea และ C.
japonica เป็นพืชชนิดไม่สามารถผสมตัวเองได้ ขณะที่ C.
sepium เป็นชนิดผสมตัวเอง
แต่จำเป็นต้องใช้พาหะช่วยในการผสมพันธุ์
ด้วยเหตุที่พืชในกลุ่มนี้มีความจำเป็นต้องอาศัยพาหะในการช่วยผสมเกสร
ทั้งกลุ่มที่ผสมตัวเองได้ และไม่ได้ จึงมีละอองเกสร และน้ำหวานเพื่อเรียกแมลง เช่น
ผึ้ง หรือแมลงที่กินน้ำหวานต่างๆ ใน C. soldanella เป็นชนิดที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลในการผสมเกสรเพื่อให้มีเมล็ดติดในปริมาณมาก
แต่ C. hederacea และ C. japonica การติดเมล็ดและผล
ไม่ได้ขึ้นกับจำนวนของพาหะ แต่ขึ้นกับจำนวนของละอองเกสร ส่วน C. sepium มีการติดผล และเมล็ดได้มาก และคงตัว เนื่องจากที่สามารถผสมตัวเองได้
และมีสีสรรตลอดจนความสวยงามดึงดูดแมลงพาหะได้ดีกว่าชนิดอื่นๆ
ในการศึกษาถึงอิทธิพลของตำแหน่งยีน (locus) ที่ทำให้เกิดรงควัตถุสีในกลีบดอกของ Ipomoea purpurea ที่พบในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าอัลลีลที่ให้สีขาว
(white allele) เป็นยีนเด่นต่อยีนในตำแหน่งเดียวกัน
จากการเปรียบเทียบกับลักษณะด้อยที่ให้สีเข้ม (dark allele)
พบว่าต้นที่มีลักษณะสีเข้มที่เป็น homozygote จะเจริญแตกกิ่งใบได้น้อยกว่า มีดอกน้อย ผล และเมล็ดต่อผล
น้อยกว่าต้นที่เป็น heterozygote หรือ
ต้นที่มีลักษณะดอกสีขาวที่เป็น homozygote
แต่ต้นที่มียีนสีขาวที่เป็น homozygote
กลับให้เมล็ดเล็กกว่าต้นที่เป็น heterozygote ซึ่งผลที่ได้แสดงให้เห็นถึงการส่งเสริมกันของยีนที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันของพืชชนิดนี้
(Rausher and Fry, 1993)
โคลชิซีน
หรือ acetyltrimethylcolchicinic
acid มีชื่อทางเคมีคือ : (S)-N-(5,6,7,9-tetrahydro-1,2,3,10-tetramethoxy-9-oxobenzo (a)
heptalen-7-yl) acetamide น้ำหนักโมเลกุล 399.43 มีสูตรเคมีดังนี้ C22H25NO6
(ภาพ 7) สารชนิดนี้สามารถสกัดได้จากต้น meadow saffron (Colchicum autumnale) (Lucy, 1997 ; 1998 และ
Matthew , 1998) และดองดึง (Gloriosa superba L.) ซึ่งพบสารโคลชิซีนอยู่แทบทุกส่วนของลำต้น โดยเฉพาะฝัก และเมล็ดจะมีปริมาณสูงมาก (นันทวัน, 2541 และ ศุภฤกษ์ และ สุมิตรา, 2530) จัดเป็นพืชสมุนไพร มักใช้ส่วนของต้นที่เป็นเหง้า
และหัวใต้ดินต้มน้ำรับประทานแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
คนไทยในชนบทนิยมใช้ดองดึงเป็นยารักษาโรคพยาธิภายในให้แก่สัตว์เลี้ยงจำพวกโคกระบือ
ซึ่งจะใช้ต้นสดทั้งต้น ให้แก่สัตว์เลี้ยงที่เป็นโรคกิน (วิชัย,
2532)
สารโคลชิซีนมีพิษคล้ายสารหนู
ก่ออันตรายได้ด้วยการสัมผัส ถ้าเข้าตาจะทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง
และตาบอดชั่วคราว หากรับประทานเข้าไปจะเป็นพิษรุนแรงกับระบบทางเดินอาหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณกระเพาะ และลำไส้ ถ้าหากได้รับสารในปริมาณมากๆ
อาจถึงตายได้ (วิมล, 2527) อย่างไรก็ดี
สารนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในการแพทย์ โดยสามารถนำมาใช้รักษาโรคบางอย่างได้ (ศุภฤกษ์ และ สุมิตรา, 2530 อ้างถึง Chopra et
al., 1965)
ภาพ 7 โครงสร้างทางเคมีของสารโคลชิซีน
สารนี้ยังมีประโยชน์ในด้านการศึกษาเกี่ยวกับพันธุศาสตร์ของเซลล์
เนื่องจากมีรายงาน และการทดลองทั้งใน และต่างประเทศ
พบว่ามีการใช้โคลชิซีนซึ่งเป็นสารเคมีประเภทอัลคาลอยด์
ที่มีผลต่อกระบวนการแบ่งเซลล์ โดยทำหน้าที่ในการยับยั้งการพัฒนาของ spindle fiber ทำให้โครโมโซมไม่สามารถแยกออกจากกันไปอยู่ในแต่ละด้านของเซลล์ได้
จึงส่งผลให้เซลล์นั้นไม่สามารถแยกโครโมโซมออกจากกันได้
ซึ่งคุณสมบัตินี้ได้นำมาใช้ในด้านการปรับปรุงพันธุ์พืช
ให้มีจำนวนชุดของโครโมโซมเพิ่มเป็น 2 เท่าได้ (ศุภฤกษ์ และ สุมิตรา, 2530) ดัง Tamura et
al. (1996) ได้รายงานถึงการเพิ่มชุดของจำนวนโครโมโซม 2
เท่า จากการเพาะเลี้ยงโปรโตพลาสต์ Diospyros kaki cv. Jiro
(2n=6x=90 , x=15) ในอาหารเหลวดัดแปลงสูตร KM8p ที่เติมโคลชิซีน 0.1 %
เป็นเวลา 3-9 วัน
โดยสามารถเพิ่มจำนวนชุดของโครโมโซมเป็น 12 ชุด (2n=12x=180)
การชักนำให้เกิดการเพิ่มจำนวนโครโมโซมด้วยสารโคลชิซีนนั้น
ยังใช้ประโยชน์ในด้านการชักนำพืชที่เป็น haploid ให้เป็น diploid
เพื่อใช้ประโยชน์ในการหาสายพันธุ์แท้ หรือการพัฒนาสายพันธุ์ เช่นการทดลองของ Miyoshi
and Asakusa (1996) ในเยอบีร่า (Gerbera jamesonii) โดยการเลี้ยงต้นอ่อนจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ที่เป็น haploid ซึ่งมีใบ 4-6 ใบ และมีระบบรากที่แข็งแรงแล้ว
ในอาหารที่มีส่วนผสมของสารละลายโคลชิซีนความเข้มข้น 0.05 % เป็นระยะเวลา
2-6 วัน ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส
พบว่าสามารถชักนำให้เกิดเป็นต้นที่เป็น dihaploid ได้ถึง
24.2-34.1 %
การนำสารโคลชิซีนมาใช้กับพืช
เพื่อชักนำให้พืชเพิ่มจำนวนโครโมโซม จะต้องใช้กับส่วนของพืชที่กำลังเจริญเติบโต
ซึ่งมีอัตราการแบ่งเซลล์สูง ดังนั้นจึงมักใช้กับเมล็ดที่กำลังงอก ตา
หรือยอดที่กำลังงอกใบใหม่ (วิมล, 2527) การใช้สารโคลชิซีนกับพืช สามารถทำหลายวิธี เช่น การใช้สารโคลชิซีนกับเมล็ด
ดังการทดลองของ วิมล และอนันต์ (2526) ซึ่งใช้สารโคลชิซีนชักนำให้เกิด
polyploid ในพริกไร่
( Capsicum sp. ) โดยแช่เมล็ดในสารละลายโคลชิซีนความเข้มข้น
1 % และ 2 % นาน 48 และ 24 ชม ตามลำดับ พบว่าเมล็ดที่แช่ในสารละลายโคลชิซีน
1 % นาน 48 ชม มีประสิทธิภาพในการชักนำให้เกิด polyploid
ได้ดีกว่า 2 % นาน 24 ชม ต้นที่เป็น polyploid มีความสูงของลำต้นไม่แตกต่างจากต้น
diploid และเกือบทุกต้นที่เป็น polyploid มีใบขนาดใหญ่ หนา สีเขียวเข้ม กิ่งค่อนข้างเปราะ ขนาดของ เซลล์ปากใบใหญ่ขึ้น
วันออกดอกช้า เปอร์เซ็นต์ความเป็นหมันสูง ขนาดของผล และการติดผลลดลง Tojyo
(1985) ได้ชักนำให้เกิด polyploid ในหม่อน
(Morus sp.) โดยใช้วิธีการแช่เมล็ดหม่อนที่ผึ่งให้แห้งแล้วในสารละลายโคลชิซีน
ความเข้มข้น 0.1-0.4 % นาน 24 ชม นอกจากนี้ Mungtzin and Rumquist
(1939) (อ้างจาก เกวลิน, 2529) ได้ทำการแช่เมล็ดมันฝรั่ง
Solanum tuberosum var. triumph ในสารละลายโคลชิซีน
พบว่ารากมันฝรั่งมีจำนวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นเป็น 96 แท่ง
เช่นเดียวกับการทดลองของ Tang and Loo (1940) (อ้างจาก Tang et al.,1945) ที่ได้ทดลองแช่เมล็ดข้าวบาร์เลย์ในสารละลายโคลชิซีน
ความเข้มข้น 0.05 % นาน 48 ชม
พบว่าสามารถชักนำให้เกิดการเพิ่มจำนวน โครโมโซมในข้าวบาร์เลย์ได้
โดยปกติเมล็ดที่ถูกแช่ในสารละลายโคลชิซีน ที่มีความเข้มข้นสูง
หรือแช่ไว้เป็นเวลานานจะงอกช้า และเปอร์เซ็นต์การงอกลดลง
วิธีนี้จะใช้ได้ผลดีกับเมล็ดที่งอกเร็วหรือไม่มีระยะพักตัว (วิมล
, 2527)
Grimbly
(1973) ได้ทำการทดลองกับ Cucumis sativus L. (2n=14) พบว่าการแช่เมล็ดในน้ำเปล่า 8 และ 24 ชม ก่อน แล้วแช่ในโคลชิซีน 0.2 % นาน 24 ชม ให้เปอร์เซ็นต์การอยู่รอดของต้น tetraploid สูงที่สุด
และพบว่าให้ผลผลิตของผลดีกว่าต้นที่เป็น diploid แต่ภายหลังพบว่ามีการแตกยอดจากตาข้างช้ากว่าจึงไม่ค่อยได้รับการยอมรับในเวลาต่อมา
Kollanyl and Simon (1970) แช่เมล็ดราสเบอรี่ลูกผสมพันธุ์ A6248 ในสารละลายโคลชิซีน ความเข้มข้น 1 %
นาน 4 ชม แล้วแช่ในความเข้มข้น 0.2 % ต่อไปอีก
10-15 ชม ได้ต้น tetraploid ที่ให้ผลผลิตเหมือนเดิม
ขนาดของผลใหญ่ขึ้น แต่ความสมบูรณ์พันธุ์ลดลง
การใช้สารโคลชิซีนกับส่วนของยอดของพืชนั้น
บุษรา (2536) ได้ทดลองแช่ยอดว่านหางจระเข้ ( Aloe barbadensis ) ในสารละลายโคลชิซีน ที่มีความเข้มข้น 0 , 50 , 100 และ
150 สตล ตามลำดับ โดยใช้ความเข้มข้นละ 36 ยอด แช่ยอดนาน 1 , 2 และ 4 วัน
แล้วนำไปเก็บใน อุณหภูมิ 25±2 องศาเซลเซียส ได้รับแสง 16
ชม ต่อวัน เลี้ยงในอาหารสูตร MS (1962) ที่เติม
BAP 1 สตล พบว่า พืชมีอัตราการตายสูงที่ความเข้มข้น 150
สตล รองลงมาคือ 100 , 50 และ 0 สตล ตามลำดับ การแช่ยอดนาน 4 วัน
พืชมีอัตราการตายมากที่สุด รองมาคือ 2 และ 1 วันตามลำดับ จากการตรวจนับ โครโมโซมปลายราก พบว่าที่ความเข้มข้น 150
สตล นาน 1, 2 และ 4 วัน
ชักนำให้พืชเพิ่มจำนวนโครโมโซมได้ดีที่สุด
คือมีจำนวนอยู่ในระหว่าง 20-28 โครโมโซม ต้นปกติมีจำนวน 14
โครโมโซม
ส่วนลักษณะภายนอกของต้นที่เป็น polyploid นั้นไม่แตกต่างจากต้นปกติ
แต่มีอัตราการเจริญ การออกดอก และการแตกกอ ช้าและน้อยกว่าต้นปกติที่เป็น diploid
นอกจากนี้
ได้มีรายงานของ Verma
and Raina (1991) ซึ่งได้ทดลองโดยการจุ่มปลายยอดที่อยู่ระหว่างใบเลี้ยงของต้นฟล็อกซ์
(Phlox drummondii) ในสารละลายโคลชิซีน 0.1-0.2 %
นาน 5-6 ชม ต่อวัน ติดต่อกัน 2-3 วัน
สามารถชักนำให้เกิดต้นที่มีโครโมโซม 4 ชุด มีดอกขนาดใหญ่ขึ้น และบานได้นานขึ้น นอกจากนี้ Lu and
Bridgen (1997) ได้แช่ปลายยอดต้นลูกผสมของ alstroemeria ซึ่งไม่สามารถติดเมล็ดได้
โดยการแช่ปลายยอดที่เลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อในสารละลายโคลชิซีนเข้มข้น 0.2-0.6 %
นาน 6-24 ชม พบว่าได้ต้นที่มีจำนวนโครโมโซม 4 ชุดถึง 41 % ซึ่งต้นที่มีลักษณะเป็น tetraploid
นี้สามารถคงลักษณะได้มากกว่า 87.5 % ภายหลังการปลูกเลี้ยงเป็นระยะเวลา
1 ปี แต่ต้นที่ได้ยังคงลักษณะความเป็นหมันเหมือนเดิม
Emsweller
and Brierley (1940) พบว่า การแช่ยอดของ Lilium
formosanum (2n=24) ในสารละลาย โคลชิซีน 1.0 % นาน 2 ชม สามารถชักนำให้เกิดต้น tetraploid ได้
ส่วนการทดลองเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการใช้สารโคลชิซีนระหว่างเมล็ด
กับยอดหรือส่วนต่างๆของพืชนั้น Bragdo (1955) ได้รายงานถึงการทดสอบประสิทธิภาพระหว่าง
การแช่เมล็ดของต้น red clover (Trifolium pratense) ที่ผ่านการแช่น้ำเปล่าก่อน
24 ชม จึงแช่ในสารโคลชิซีน 0.1 % ระยะเวลา
48 ชม และ 0.2 % ระยะเวลา 24 ชม กับการให้วุ้นที่ผสมสารละลายโคลชิซีนที่ปลายยอด 3-4 ครั้ง ในระยะเวลา 2 วัน โดยผสมสารละลายโคลชิซีน 2
% สองส่วนต่อวุ้นที่ละลายในน้ำ 3 % หนึ่งส่วน
พบว่าต้นที่ได้รับสารละลายโคลชิซีนขณะเป็นเมล็ดมีการตายสูง
เนื่องจากการให้กับเมล็ดจะทำให้เกิดการยับยั้งการเจริญและการพัฒนาของราก
ทำให้อัตราส่วนของต้นที่เป็น tetraploid ในส่วนของการให้ที่ปลายยอดมีจำนวนสูงกว่า
แต่หากเปรียบเทียบเฉพาะต้นที่รอด พบว่าต้นที่ได้รับสารละลายโคลชิซีนจากเมล็ด
มีอัตราส่วนของ tetraploid สูงกว่าต้นที่ได้รับจากยอด
การใช้สารละลายโคลชิซีน
กับชิ้นส่วนที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ขนาด 1 ซม
ของมันฝรั่งลูกผสมพันธุ์ A-6
( Solanum tubersosum X S.
demissum ) โดยเติมโคลชิซีน 50 , 100 และ 200
สตล ในอาหารเหลวสูตร MS (1962) ที่เติม NAA
5 มก/ล และ BAP 3 มก/ล พบว่าสามารถชักนำให้เกิด polyploid ได้ทุกความเข้มข้น
โดยจะมีจำนวนโครโมโซมอยู่ในช่วง 95-112 แท่ง (จากเดิม 60 แท่ง) และมีเปอร์เซ็นต์ความอยู่รอด
96 , 96 และ 100 % ตามลำดับ (เกวลิน, 2529)
การชักนำจาก
ชิ้นส่วนที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนี้ ทำได้ในพืชอีกหลายชนิด เช่น alfafa cell line G13/K5 (Medicago sativa L.) 2n=4x=32 โดยใช้ความเข้มข้น 0.05 % (น้ำหนัก/ปริมาตร) นาน 48 ชม
แล้วเลี้ยงต่อใน BL medium โดยสามารถชักนำให้เพิ่มระดับของชุดโครโมโซมได้
(Aroslav and Pavla , 1989) ในพืชพวกกุหลาบ เช่น Rosa wichuraiana พบว่าการเลี้ยงต้นอ่อน (plantlet)
ในอาหารเหลวที่มีโคลชิซีนความเข้มข้น 0.05 % นาน
12 ชม สามารถชักนำให้เกิดเซลล์ที่เป็น tetraploid ได้ (Roberts et
al., 1990)
Gao et
al. (1996) ได้ชักนำให้เกิดจำนวนโครโมโซม tetraploid .ในกลุ่มยอดอ่อนของ Salvia miltiorrhiza Bga.
โดยการเลี้ยงด้วยอาหารสูตร MS (1962) ที่ผสมโคลชิซีนความเข้มข้น
5-100 สตล นาน 30 วัน
โดยพบการรอดตายมากที่สุดถึง 70 % ในอาหารที่ผสมโคลชิซีนความเข้มข้น10 สตล และ พบต้นที่เป็น tatraploid (2n=4x=48) มากที่สุดคือ
12 % ในอาหารที่ผสมโคลชิซีนความเข้มข้นเดียวกัน
การชักนำโดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนี้
ได้มีการแนะนำให้มีการเพาะเลี้ยงในอาหารสูตรเดียวกันกับที่จะใช้ชักนำก่อนช่วงระยะเวลาหนึ่ง
(preculture) เพื่อให้ผลที่ดีกว่า
โดย Anderson et al. (1990) ได้รายงานถึงผลของการชักนำปลายยอดของ
colvers (Trifolium spp.) ที่ผ่านการเลี้ยงมาก่อนการชักนำด้วยอาหารวุ้นสูตร
ML8 ที่เติมโคลชิซีน 0.1 % โดยปริมาตร
เป็นระยะเวลา 48 หรือ 72 ชม
พบว่าจะให้ผลดีกว่าในการชักนำให้เกิดการเพิ่มจำนวนชุดของโครโมโซม
เมื่อเปรียบเทียบกับที่ไม่มีการเลี้ยงล่วงหน้ามาก่อน
การทดลองโดยใช้ชิ้นส่วนของพืชผ่านการเลี้ยงมาก่อน
ในลักษณะคล้ายกันนี้
Chen and Yvonnec (1979) ได้ทำการทดลองกับ daylily (Hemerocallis
flava L.) โดยการนำชิ้นส่วนแคลลัสที่ผ่านการตัดย้ายอาหารนาน 7
วัน มาเลี้ยงในอาหารวุ้นสูตร MS (1962) ที่เติม 2,4-D 1 มก/ล และ kinetin 1 มก/ล โดยผสมโคลชิซีนความเข้มข้น
10-40 มก/ล เป็นระยะเวลา 3 วันที่อุณหภูมิ 12 องศาเซลเซียส โดยการนำส่วนผิวหน้าคว่ำลงสัมผัสอาหาร
แล้วย้ายไปเลี้ยงในอาหารสูตร MS ที่ไม่มีโคลชิซีน
และกลับส่วนที่สัมผัสโคลชิซีนหงายขึ้น ซึ่งในช่วงเวลา 7
วันหลังการย้ายอาหารจะนำไปเลี้ยงที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อลดพิษของโคลชิซีนที่มีต่อเซลล์
หลังจากนั้นจึงนำมาเลี้ยงในที่มืด ที่มีอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส จนเกิดยอดจึงย้ายปลูกในอาหารสูตร
MS (1962) ที่ไม่เติมสารกระตุ้นการเจริญ ที่อุณหภูมิ 27
องศาเซลเซียส โดยให้แสงสว่าง 16 ชม
และมืด 8 ชม เพื่อการพัฒนาของต้นอ่อน พบว่าการเลี้ยงในอาหารที่เติมโคลชิซีนความเข้มข้น
20 มก/ล ให้ประสิทธิภาพการชักนำให้เกิดต้น tetraploid มากที่สุด
นอกจากนี้
สมปอง และ ราตรี (2543)
ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับผลของโคลชิซีนที่ให้กับแคลลัสมังคุดต่อการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางสัณฐานวิทยา
โดยการนำแคลลัสมังคุดที่เพาะเลี้ยงในอาหารเพิ่มปริมาณแคลลัสเป็นเวลา 20 วัน
มาจุ่มแช่ในสารละลายโคลชิซีนความเข้มข้น 5-100 มก/ล
ในภาชนะที่เขย่าด้วยเครื่องเขย่าความเร็ว 80 รอบต่อนาที เป็นเวลา 2 ชม
และแคลลัสที่วางเลี้ยงในอาหาร 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นสูตร WPM (Woody Plant Medium) ที่เติม BA 0.1 มก/ล และ PVP
500 มก/ล หลังจากวางเลี้ยงเป็นเวลา 14 วัน จึงเติมอาหารเหลวสูตร MS ที่ลดองค์ประกอบลงครึ่งหนึ่ง โดยเติม NAA 0.06 มก/ล
และ BA 0.03 มก/ล
และโคลชิซีนความเข้มข้น 500 และ 750 มก/ล วางเลี้ยงต่ออีกเป็นระยะเวลา 21 วัน
ภายหลังจากการชักนำด้วยโคลชิซีนแบบต่างๆแล้วจึงนำชิ้นส่วนแคลลัสที่ได้ไปเลี้ยงในอาหารชักนำยอด
อาหารส่งเสริมการยืดยาวของยอด และอาหารชักนำราก
พบว่ายอดที่พัฒนาจากการจุ่มแช่โคลชิซีนทุกระดับมีปริมาณคลอโรฟิลล์ b เพิ่มขึ้น ขนาดของยอด พื้นที่ใบ และจำนวนใบมีแนวโน้มลดลง
ในขณะที่จำนวนและความยาวรากเพิ่มขึ้น สำหรับการใช้โคลชิซีนความเข้มข้น 500 มก/ล
เติมลงในอาหารและเลี้ยงร่วมกับแคลลัส พบว่า ใบจากยอดพัฒนาผิดปกติ
มีการสร้างแคลลัสสีน้ำตาล แต่ยอดมีการสร้างรากได้ตามปกติ บางใบสร้างยอดขนาดเล็ก
ส่วนความเข้มข้น 750 มก/ล ให้การสร้างรากได้ถึง 5 ราก/ยอด ยอดขนาดเล็กมีการสร้างรากขนาดใหญ่
นอกจากนี้ยังพบมังคุด 3 ใบจาก 1 ข้อด้วย
การชักนำให้เกิดการเพิ่มจำนวนโครโมโซมด้วยสารโคลชิซีน
อาจพบความผิดปกติในลักษณะแตกต่างออกไปจากการเพิ่มชุดของจำนวนโครโมโซม
ลักษณะผิดปกติที่มักพบบ่อยได้แก่ ลักษณะของ aneuploidy และ chimera เช่น ใน Datura
ซึ่งพบ aneuploidy ในหลายแบบเช่น 2n+1, 2n-1, 3n+1, 3n+2, 3n-1 เป็นต้น (Sengbusch, 2000 อ้างถึง Blakeslee et al., 1959)
กฤษฎา
(2519)
ได้กล่าวถึงการเกิดความผิดปกติแบบ chimera ซึ่งเกิดจากพืชที่ถูกชักนำให้เกิดเป็น
polyploid เพียงบางส่วนของเนื้อเยื่อว่า มักพบในสองลักษณะคือ sectorial
ploid-chimera และ periclinal ploid-chimera โดย
sectorial ploid-chimera คือการเกิดการเปลี่ยนแปลง
เพียงบางส่วนของของตาที่เจริญเป็น polyploid ซึ่งส่งผลให้ส่วนที่เจริญจากส่วนที่เปลี่ยนแปลงกลายเป็น
polyploid แต่ส่วนอื่นๆยังคงปกติ
และ periclinal ploid-chimera เกิดจากเซลล์ชั้นของเอพิเดอร์มิสและเซลล์ชั้นในมีจำนวนโครโมโซมที่แตกต่างกัน
ผลที่ได้อาจส่งผลให้เซลล์ปากใบซึ่งเจริญมาจากเซลล์ชั้นนอกแสดงผลเป็น polyploid
คือมีลักษณะใหญ่กว่าต้นปกติ แต่ขนาดของละอองเรณู ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ชั้นในมีลักษณะปกติ
Duren et al. (1996) ได้ศึกษาถึงผลของการให้สารโคลชิซีนต่ออัตราการเกิดลักษณะ chimera ในกล้วย (Musa acuminata) สายต้น SH3362
โดยการเพาะเลี้ยงยอดในอาหารเหลวที่เติมโคลชิซีน 5.0 มลม และ dimethyl sulfoxide (DMSO) 2 % (โดยปริมาตร)
พบอัตราการไม่เกิด ลักษณะ chimera สูงถึง 23.1 % จากการทดสอบถึงสี่ชั่วรุ่นของการปลูก
การตรวจหาลักษณะพืชที่ถูกชักนำให้เกิด polyploid วิธีที่ดีที่สุด คือการตรวจนับจากจำนวนโครโมโซม
ซึ่งมักจะนิยมใช้กันเป็นวิธีสุดท้าย กับพืชที่เชื่อว่าเป็น polyploid ทั้งนี้เพราะเป็นวิธีที่ต้องใช้เวลามาก สำหรับเกณฑ์แรกๆ
ที่ใช้คือการสังเกตลักษณะต่างๆ ได้แก่ รูปร่าง และขนาดของส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ใบ
ดอก ผล และเมล็ด ซึ่งพอจะช่วยแยกพืชได้เป็น 2 กลุ่ม
คือพวกที่ตอบสนองต่อสารโคลชิซีน กับพวกที่ไม่ตอบสนองต่อสารโคลชิซีน หรือการวัดขนาดของปากใบ
ตลอดจนขนาดของละอองเกสร
ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าต้นปกติ (วิมล, 2527 )
การตรวจนับจำนวนโครโมโซม มีเทคนิคการตรวจนับอยู่หลายวิธี
เช่น การตรวจนับจากดอกอ่อน ซึ่งจากรายงานของ
ปกขวัญ และคณะ (2530) ตรวจนับจำนวนโครโมโซมใน Ocimum spp. บางชนิด
โดยการแช่ช่อดอกอ่อนในน้ำยา fixative ที่มีส่วนผสมของ absolute
ethyl alcohol 3 ส่วน และ
glacial acetic acid 1 ส่วน โดยใส่ ferric chloride 1-2 หยด เพื่อให้เซลล์ติดสีย้อมดีขึ้น หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 20-24 ชม แล้วล้างออกด้วย ethyl
alcohol 95 % 2 ครั้ง แล้วเก็บช่อดอกไว้ใน ethyl alcohol 70 % เตรียมสไลด์แล้วเขี่ยเอาอับเรณูออกจากดอก
หยดสีย้อม propionocarmine 1-2 หยด แล้วกดอับเรณูให้แตก
ปิดด้วยแผ่นปิดสไลด์ อังไฟพออุ่น แล้วนำไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยเลือกเซลล์ microsporocyte
ที่กำลังแบ่งตัวอยู่ในระยะปลายของ prophase I ไปจนถึง
metaphase I นับจำนวนโครโมโซม ใช้กำลังขยาย 1,000 เท่า และอีกวิธีหนึ่งที่นำมาใช้คือการตรวจนับจากเซลล์ปลายราก
เช่นการย้อมปลายราก โดยแช่ปลายรากพืชใน 8-hydroxyquinoline แล้วรักษาสภาพเนื้อเยื่อพืชใน
fixative ที่มีส่วนผสมของ absolute ethyl alcohol และ glacial acetic acid แล้วย้อมด้วยสี acetocarmine
ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่แพร่หลายที่สุด (เกตุการ,
2536 อ้างถึง เกวลิน,
2526) ซึ่งการหาโครโมโซมโดยวิธีคล้ายคลึงกันนี้พบในหลายการทดลอง
เช่น การทดลองของ Park and Walton (1990) โดยหาโครโมโซมของพืชทดลองซึ่งเป็นลูกผสมระหว่าง
Elymus canadensis และ Psathyrostachys juncea
โดยการเก็บรักษาปลายรากในน้ำเย็นที่อุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 24 ชม
และรักษาสภาพเซลล์ในน้ำยา fixative ที่มีส่วนผสมของ ethanol
และ acetic acid 3:1 ส่วน
ส่วนช่อดอกอ่อนใช้น้ำยา fixative สูตรของ Carnoy
(6:3:1 ethanol-chloroform-acetic acid) โดยทั้งสองวิธีการ
squash และย้อมสีโครโมโซมด้วยสี acetocarmine 1.5
% หรือการทดลองของ
Lena et al. (1991) ในพืช Actinidia spp.
ซึ่งเตรียมตัวอย่างปลายราก โดยการแช่ใน p-dichlorobenzene ที่อุณหภูมิ 10-16 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชม
แล้วนำปลายรากที่ได้มารักษาสภาพเนื้อเยื่อในน้ำยารักษาสภาพ ที่มีส่วนผสมของ absolute ethyl alcohol 3 ส่วน และ glacial
acetic acid 1 ส่วน และนำไปย่อยสลายผนังเซลล์ด้วย 5N HCl ที่อุณหภูมิห้อง ระยะเวลา 4-5 ชม แล้วตรวจหาจำนวนโครโมโซมโดยใช้สี acetic
orcein หรือ
formic-lactic-propinoic orcein